ในช่องประตูที่มองลอดผ่านเข้าไปในห้อง แม่นมผู้มาส่งสาวใช้ให้อวิ๋นซูเห็นภาพเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจข้างใน หลังจากเคาะประตูเบาๆ แล้วจึงพาคนเดินเข้าไป
“คุณหนูหกเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้บ่าวคัดเลือกสาวใช้ฉลาดเฉลียวสักหลายคนมาให้ท่านเรียกใช้เจ้าค่ะ”
อวิ๋นซูเบนสายตาขึ้น ดวงตาเย็นชาทอดมองผ่านร่างแม่นมกวาดมองไปบนร่างของคนทั้งสี่ที่เดินตามหลังนางมา คนทั้งหลายที่ถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นพลันร่างกายสั่นสะท้าน แม่นมที่ยืนอยู่ด้านหน้าหัวใจบีบรัดเนื่องด้วยรับสายตาเช่นนั้นไม่ไหว นางไปมาหาสู่กับคุณหนูหกมานานเแล้ว แต่ไหนแต่ไรนางก็ไม่เคยเห็นคุณหนูมีสายตาเช่นนี้มาก่อน ในท่าทีอันเรียบเฉยดั่งที่เป็นมาโดยตลอดกลับมีความเย็นยะเยือกอันน่ากลัวแฝงอยู่ภายในอย่างชัดเจน ราวกับพริบตาต่อมาจะเกิดฟ้าถล่มดินทลายขึ้นก็มิปาน บุคคลเช่นนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าคนที่มักจะแสดงอารมณ์ออกมาเสียอีก
เมื่อคิดถึงตรงนี้แม่นมก็ดึงสติกลับมาแล้วหมุนตัวไป ส่งสายตาไปให้สาวใช้หลายคนเบื้องหน้าอย่างแฝงไปด้วยความหมาย ถึงแม้ในใจจะทราบว่า หากสาวใช้บนเตียงทั้งสามคนดีขึ้นแล้วคุณหนูจะไม่เรียกใช้งานพวกนางอีกและจะส่งพวกนางกลับไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะกำชับ “หลายวันนี้ต้องปรนนิบัติเสี้ยนจู่อย่างรอบคอบ อย่าสร้างความยุ่งยากให้เสี้ยนจู่เป็นอันขาด”
หลิ่วอวิ๋นซูมองแม่นมที่กำลังขยับปาก ริมฝีปากของนางก็ยกเป็นเส้นโค้งบางๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบมากจริงๆ
ในขณะเดียวกัน ภายในสวนบุปผาหลวงในพระราชวัง องค์หญิงซีเยว่นั่งอยู่ข้างสระน้ำอย่างเหม่อลอย โยนอาหารปลาที่ถืออยู่ในมือลงไปในบ่อน้ำจนเกิดคลื่นเป็นวงดุจดอกไม้บาน เพียงครู่เดียวก็มีหัวปลาคราฟครึ่งหัวโผล่ออกมาแย่งชิงอาหารกันอย่างตะกละตะกลาม
ซินหลานที่ยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อันงดงามยืนอยู่ข้างกายขององค์หญิงซีเยว่ กำลังออกมือออกไม้บรรยายเหตุการณ์ที่จวนชางหรงโหว
“องค์หญิงเพคะ พระองค์ไม่ได้เห็น ยามนั้นเสี้ยนจู่ได้ยินบ่าวกล่าวว่าสั่งสอนสาวใช้ของนางแทนพระองค์ นางหน้าดำไปเลยทีเดียว เป็นเช่นนี้เพคะ ใบหน้านั้นกลายเป็นเช่นนี้เลยเพคะ” ซินหลานกล่าวไปพลางทำหน้าทำตาไปพลาง การเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้เครื่องประดับบนร่างกายส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งราวภาพฝัน
“หลังจากบ่าวยั่วยุไปแล้วนางถึงกับรีบวิ่งเข้าไปดูสาวใช้สามคนนั่นโดยไม่สนใจ ดูท่าสาวใช้สามคนนี้จะสำคัญกับเสี้ยนจู่จริงๆ คราวนี้องค์หญิงทรงตีได้ถูกจุดจริงๆ เพคะ”
เสียงคิกคักดังขึ้น องค์หญิงซีเยว่เห็นท่าทางนางพูดอย่างออกรสออกชาติ จึงคิดไปถึงท่าทางของหลิ่วอวิ๋นซูจนทำให้กลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ “เช่นนั้นใบหน้าของนางมิกลายเป็นม้าเลยรึ” บนใบหน้าอันยิ้มแย้มไม่อาจปิดซ่อนความลำพองใจไปได้
จะตีสุนัขล้วนต้องดูเจ้านาย ครั้งนี้นับว่านางตีลงบนหน้าของอวิ๋นซูได้อย่างหมดจด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเสี้ยนจู่แล้วอย่างไร ก็แค่ลูกอนุของจวนโหวที่ไร้ความสำคัญคนหนึ่งเท่านั้น ยังคิดเพ้อเจ้อถึงรัชทายาทอีก
ช่างไม่รู้จักประมาณตัวเสียจริง!
อย่างไรก็ตาม ผ่านการสั่งสอนในครั้งนี้ไปแล้ว อวิ๋นซูคงจะรู้ถึงระดับความสำคัญของตนและไปให้ไกลจากรัชทายาท ตนเองเป็นองค์หญิงของแคว้นอี้ ฐานะสูงส่ง นางอาศัยอะไรมาแข่งกับตนเอง
องค์หญิงซีเยว่พลันคิดได้ว่าตนเองยังมีภารกิจสำคัญอยู่ จะต้องไม่ทำให้แผนการของตนเองเกิดความผิดพลาดเพราะสตรีที่มีฐานะต่ำต้อยเหล่านี้โดยเด็ดขาด
คิดแล้วก็โปรยอาหารปลาในมือไปยังสระบัว ลุกขึ้นยืนโดยมีสาวใช้ประคอง จากนั้นจึงมองไปยังซินหลานข้างกายที่มีท่าทีลำพองใจเนื่องจากทำภารกิจสำเร็จ “ไป พวกเราไปหารัชทายาทกัน”
กล่าวจบก็หมุนเอวคอดกิ่วราวกับกิ่งหลิว หายไปจากส่วนบุปผาหลวงด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง
เช้าวันต่อมา
ภายในพระราชอุทยานใกล้กับสวนบุปผาหลวง ดอกไห่ถังที่งดงามอ่อนนุ่มตลอดทั้งสี่ฤดูกำลังแย้มกลีบในยามเช้า สาวใช้ที่มาจากแคว้นอี้หลายคนถือขวดแก้วอยู่ในมือขวดหนึ่ง เขย่งปลายเท้า ยืดนิ้วไปสะกิดดอกไม้เพื่อเก็บรวบรวมน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ลงในขวดอันใสกระจ่างภายในมือ
ในตำหนัก องค์หญิงซีเยว่นั่งอยู่หน้ากระจก มีซินหลานที่ฉลาดเฉลียวมีไหวพริบช่วยแต่งกายให้ตน
ทันใดนั้น ม่านประตูพลันถูกมือคู่หนึ่งแหวกออก สาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างร้อนรน “องค์หญิงเพคะ ไม่ดีแล้ว…”
“หึ! พูดจาไม่เป็นมงคลตั้งแต่เช้าเชียว ความสงบสุขขององค์หญิงมีค่าดุจทองคำ เจ้านี่ใช้ไม่ได้” ซินหลานที่กำลังนั่งคุกเข่าถือหวีอยู่ในมือเอี้ยวตัวไปกล่าวตำหนิสาวใช้ผู้นั้น
สาวใช้ตัวน้อยรีบคุกเข่าโขกหัวขออภัย “พี่หลานกล่าวได้ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ความสงบสุขขององค์หญิงมีค่าดุจทองคำ เป็นคนผู้นั้น หย่งจี๋เสี้ยนจู่ผู้นั้นเจ้าค่ะ” สาวใช้พูดพลางหอบหายใจ แล้วกล่าวต่อไปว่า “เป็นหย่งจี๋เสี้ยนจู่พาคนมาหาถึงหน้าประตูแล้วเจ้าค่ะ!”
คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา ม่านประตูก็ถูกยกขึ้น ปรากฏเงาร่างงดงามดุจดอกบัวแรกแย้ม บนใบหน้าของสตรีผู้นั้นไร้ซึ่งการประทินโฉม ผมสีดำดุจหมึกใช้ปิ่นหยกขาวปักเอาไว้เป็นทรงเมฆาเหิน เคลื่อนคล้อยไปตามการก้าวเดิน แมกม่านพู่ระย้าของชายอาภรณ์สีฟ้าประดุจดั่งลมทะเลอันสดชื่นที่พัดปะทะใบหน้าในยามฤดูร้อนเช่นนี้ พริบตาเดียวภายในห้องพลันเย็นสบาย
องค์หญิงซีเยว่หันกลับไปเห็นเงาร่างอันงดงามดุจภาพวาดเช่นนี้ ในใจพลันเกิดประกายความตกตะลึงอยู่หลายส่วน จากนั้นจึงตามมาด้วยความอิจฉาริษยาอยู่จางๆ
มือของนางแตะใบหน้าของตนเองโดยไม่รู้ตัว ราวกับระลึกได้ถึงความทรงจำที่ไม่น่ายินดีอะไรนัก
ซินหลานเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบกล่าวเสียงดัง “ลูกอนุของจวนโหวอย่างเจ้า พาบุรุษสองคนเข้ามาตำหนักขององค์หญิงโดยไม่แจ้ง มีเป้าหมายสกปรกอะไรกันแน่”
คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมา ทว่าซีเยว่กลับยกมือขึ้นระงับความบ้าบิ่นของซินหลาน “ผู้มาเยือนย่อมเป็นแขก”
นางจัดผมที่ยาวปะหน้าอกของตนเล็กน้อย จากนั้นจึงยกชายกระโปรงขึ้นก้าวเดินออกมา
“ครั้งที่แล้วสาวใช้สามคนของหม่อมฉันมีความผิด ครั้งนี้หม่อมฉันจึงมาเพื่อขออภัยโดยเฉพาะเพคะ” กล่าวจบก็หันกายไปยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่ตามมาด้านหลังเปิดกล่องออก
องค์หญิงซีเยว่ได้ยินว่านางมาเพื่อขออภัย มุมปากก็ยกโค้งเป็นรอยยิ้มสายหนึ่ง นางรู้นานแล้วว่า บุตรีอนุภรรยาของจวนโหวแห่งแคว้นเฉินที่ไร้ความสำคัญคนหนึ่งย่อมไม่กล้าล่วงเกินตนเองเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม เกิดเสียงกุกกักขึ้น ภายในกล่องสีแดงใบใหญ่ มีประกายของอัญมณีส่องสว่างระยิบระยับ เมื่อมองไปยังความแวววาวและฝีมืออันสลับซับซ้อนนั้น ทุกชิ้นต่างก็เป็นของล้ำค่า
องค์หญิงซีเยว่ขมวดคิ้ว นี่หมายความว่าอย่างไร?
บนใบหน้าของนางปรากฏความสนุกอยู่หลายส่วน เดินมาเบื้องหน้าอวิ๋นซู “หย่งจี๋เสี้ยนจู่คิดจะใช้ต่างหูพวกนี้มาขออภัยหรือ?” หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ตนเองก็ผิดหวังยิ่งนัก ยังคิดไปว่าหย่งจี๋เสี้ยนจู่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงแคว้นอี้จะเป็นคนที่มีฝีมือสูงส่งอันใด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นปุถุชนที่หวาดกลัวอำนาจและขี้ประจบประแจง
อวิ๋นซูทอดตามองไปยังซีเยว่ มองผ่านไปหยุดอยู่บนร่างของสาวใช้ตรงหน้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ด้วยการบรรยายของพวกชุนเซียงทั้งสามคน คงจะเป็นสาวใช้ผู้นี้ที่ตบตีพวกนาง
ซินหลานถูกสายตาของนางทอดมอง ราวกับมีก้อนหินก้อนใหญ่จากฟ้าตกลงมากดทับอยู่ในใจ ยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน แววตาว่อกแว่ก ไม่กล้าสบตากับดวงตาอันคมกริบของอวิ๋นซู สุดท้ายจึงก้มหน้าด้วยความร้อนตัว ราวกับมีลมหนาวพัดปะทะมาที่แผ่นหลัง ซินหลานอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว
อวิ๋นซูเก็บการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของนางเอาไว้ในสายตา จากนั้นจึงเบี่ยงตัวเปิดทางให้แก่กล่องด้านหลัง “องค์หญิงเพคะ นี่คือต่างหูทั้งหมดที่หม่อมฉันหาเจอในจวนชางหรงโหว เชิญองค์หญิงให้สาวใช้ข้างกายของพระองค์มาดูเสียหน่อยเถิดว่า ต่างหูคู่ไหนที่เป็นของนาง หม่อมฉันจะได้คืนให้นางเพคะ”
“เจ้า…เจ้ากลั่นแกล้งกันอย่างเห็นได้ชัด มากมายถึงเพียงนี้ ข้าจะแยกแยะออกได้อย่างไร…” ซินหลานกล่าวเสียงสั่น สายตาจับจ้องอยู่ที่กล่องใบใหญ่ที่บรรจุเครื่องประดับอยู่เต็มกล่องอย่างถอนสายตาไม่ได้
ต่างหูทุกข้างในนี้ ล้วนล้ำค่ายิ่งกว่าต่างหูคู่นั้นที่นางจงใจกล่าวว่าทำหายนับพันเท่า
อวิ๋นซูได้ยินดังนั้นริมฝีปากก็ยกยิ้มเย็นชา แต่กลับยกมือขึ้นชี้ไปยังต่างหูคู่หนึ่งที่อยู่ตรงกลางกล่อง กล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “ต่างหูคู่นี้ทำมาจากไข่มุกจากทะเลตงไห่ ต้องทราบว่าไข่มุกทรงหยาดน้ำโดยธรรมชาตินั้นแม้จะหาออกมาจากหอยมุกนับหมื่นตัวก็ยังหาออกมาไม่ได้ ล้ำค่าถึงเพียงนี้ จะต้องไม่ใช่ของที่สาวใช้ธรรมดาจะสามารถใช้ได้เป็นแน่”
จากนั้นจึงชี้ไปยังต่างหูคู่หนึ่งที่ส่องประกายสีแดงจางๆ ด้านข้าง “ต่างหูคู่นี้สร้างจากปะการังในบึงแห่งตงอวี้ ซึ่งเก็บมาจากปะการังจักรพรรดิพันปี เมื่อสวมอยู่บนหูนานวันเข้าจะทำให้มีอายุยืน รักษาความอ่อนเยาว์บนใบหน้าของสตรี…” กล่าวจบก็ปรายตามองไปยังซินหลานที่มองจนดวงตาแดงก่ำและองค์หญิงซีเยว่ที่มีสีหน้ามืดครึ้ม แย้มยิ้มงดงามออกมา “แต่จะอย่างไรของสิ่งนี้เป็นของที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ เอาไว้ให้พวกสาวใช้ชุนเซียงทั้งหลายใส่เล่นยามว่าง ย่อมไม่เหมาะกับสาวใช้ข้างกายขององค์หญิง”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ องค์หญิงซีเยว่พลันสูดหายใจลึก หย่งจี๋เสี้ยนจู่ช่างมีคารมคมคายเสียจริง นับว่านางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว “หย่งจี๋เสี้ยนจู่หมายความว่าอย่างไร?”
ในใจของนางกระจ่างแจ้ง หย่งจี๋เสี้ยนจู่ผู้นี้กำลังทำให้นางลำบากอย่างเห็นได้ชัด นำความอัปยศครั้งนั้นที่ได้รับเมื่อสามวันก่อนมาคืนให้นางอย่างทบทวี เมื่อคิดได้อย่างกระจ่างชัดแล้ว จึงมองไปยังใบหน้าอันเรียบนิ่งที่ไม่ปรากฏร่องรอยของความโกรธของหลิ่วอวิ๋นซูอีกครั้ง ตนเองดูเบานางเกินไปจริงๆ
“สาวใช้ของเปิ่นกงเพียงแค่ทำต่างหูหายไปเท่านั้น เหตุใดหย่งจี๋เสี้ยนจู่ต้องโกรธเคืองเช่นนี้ด้วย? มิใช่ว่า…วางตัวไม่เหมาะสมหรือ?”
ซีเยว่ยิ้มบางๆ กล่าวกลับผิดเป็นถูก ตำหนิอวิ๋นซูว่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
สตรีที่แต่งกายงดงามตรงหน้านี้มีความหยิ่งยโสอยู่ในดวงตา นางยืดอกขึ้น ท่าทางเช่นนั้นราวกับกำลังรอความโกรธแค้นของอวิ๋นซู
อวิ๋นซูมององค์หญิงซีเยว่เบื้องหน้า ในใจยิ่งเกิดความผิดหวัง นี่คือญาติผู้น้องของนางในตระกูลอวิ๋นจริงๆ หรือ?
นางอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาเช่นนั้นทำให้องค์หญิงซีเยว่รู้สึกคุ้นเคยไปชั่วขณะ
คล้ายกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซูในตอนนี้กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงซีเยว่รู้จักคนของตระกูลอวิ๋นหรือไม่เพคะ?”
ในใจของซีเยว่สั่นไหว นาง เหตุใดจู่ๆ นางจึงได้กล่าวถึงตระกูลอวิ๋นขึ้นมา ที่นี่ควรจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าตนเองเป็นคนของตระกูลอวิ๋นจึงจะถูก
“เสี้ยนจู่รู้จักตระกูลอวิ๋นได้อย่างไร…” น้ำเสียงของซีเยว่แฝงไปด้วยความหยั่งเชิง ทว่าสิ่งที่เพิ่มมากขึ้นก็คือความประหลาดใจอันคับแน่น
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเพคะ หม่อมฉันมีสหายเก่าแก่ผู้หนึ่ง จนกระทั่งวันนี้ก็ไม่ทราบชื่อของนาง รู้เพียงแต่ว่านางเป็นคนของตระกูลอวิ๋นแห่งแคว้นอี้ วันนี้ได้มาพบองค์หญิงจึงรู้สึกว่าองค์หญิงและนางมีความคล้ายคลึงกันจึงได้กล่าวถามไปตามใจเท่านั้นเพคะ” อวิ๋นซูยิ้มบางๆ ดวงตามีประกายความรวดร้าวพาดผ่าน ทว่ากลับซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก
สหายเก่า? ในใจของซีเยว่คิดถึงสองคำนี้อย่างละเอียด แต่สุดท้ายนางกลับไม่มีคำพูดใดแม้แต่น้อย
ในตอนที่เบนสายตาขึ้นมองอวิ๋นซูอีกครั้งหนึ่ง ในดวงตาเจือไปด้วยความไม่เป็นธรรมชาติ กำมือที่ตกอยู่ข้างกายอยากอดกลั้น
ไม่แน่ว่าคนของแคว้นเฉินมองเห็นสถานะของตนได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว? ดังนั้นจึงจงใจให้คนผู้นี้มาทดสอบตนเอง เป็นเช่นนี้หรือไม่?
อวิ๋นซูไม่สนใจความคิดในใจของนาง มองไปยังสาวใช้ที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวผู้นั้น ค่อยๆ เดินเข้าไป
เมื่อเห็นคนเดินเข้ามา สาวใช้ผู้นั้นก็ก้าวถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัวหลายก้าว ร่างกายสั่นระริกอย่างระงับไม่ได้
ในดวงตาของอวิ๋นซูเจือไปด้วยความเย็นเยียบ “คิดว่าเป็นเจ้าที่ทำต่างหูหายกระมัง?”
นางค่อยๆ ยกมือขึ้น แล้วหยุดชะงักกลางอากาศ
สาวใช้รู้สึกบรรยายไม่ถูกอยู่บ้าง ดวงตาสั่นไหว สุดท้ายจึงยื่นมือออกไปแล้วแบมือออก
อวิ๋นซูวางของในมือลง สัมผัสอันเย็นยะเยือกพลันแผ่จากฝ่ามือไปยังจิตวิญญาณด้วยความรวดเร็ว สาวใช้ยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นโดยพลัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองสิ่งของในมืออย่างละเอียด ไม่ผิดจากที่คาด เป็นต่างหูของนางคู่นั้น!
แต่ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่ต่างหูที่ล้ำค่าอะไรเลย เป็นเพียงต่างหูธรรมดาก็เท่านั้น