มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย ตอนที่ 3 ตอนที่ 71

        เนื่องจากวุ่นวายอยู่ครึ่งคืน ทำให้อ๋าวหรานกับจิ่งฝานตื่นสาย ตอนที่ตื่นขึ้นมา แสงอาทิตย์ก็ลอดเข้าหน้าต่างมาแล้ว ส่องแสงไปทั่วห้อง สว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง

        ชีวิตย้อนยุคเช่นนี้ต่างกับชีวิตในยุคปัจจุบันมาก เสียงที่ลอดเข้ามาในยามเช้าไม่ใช่เสียงรถราที่เอะอะโวยวาย แต่เป็นเสียงนกร้องไพเราะเสนาะหู บางครั้งก็ได้ยินเสียงตะโกนลากยาวลอยมาเบาๆ เสียงพวกนี้ไม่ได้ทำให้คนไม่ชอบใจ แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าอยากนอนอยู่เช่นนี้ฟังเสียงที่ล่องลอยมาจากที่ห่างไกลนี้ ไปตราบนานเท่านาน

        สิ่งนี้ทำให้อ๋าวหรานผู้ซึ่งเมื่อวานเพิ่งจะเศร้าใจไป เขาที่รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระเกินไป ในที่สุดก็คิดตกว่าเขาควรใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เผชิญหน้าอย่างสง่างาม ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องอยู่ให้ดี ถ้าหากว่าเอาแต่นึกถึงอดีตเช่นนั้นอยู่ไปก็คงไม่มีความหมาย

        บิดขี้เกียจอย่างเต็มที่ อ๋าวหรานหันศีรษะไปเห็นว่าจิ่งฝานเองก็ตื่นแล้ว ลืมตาเอนกายอยู่ด้านข้าง สีหน้างงงวยเล็กน้อย

        อ๋าวหรานลุกขึ้นนั่งถามว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือ? กำลังกังวลอะไรอยู่?”

        เป็นนานกว่าจิ่งฝานจะค่อยๆ ยกมือขึ้น มือยาวเอื้อมปิดตาตนเอง ให้สีสันทุกอย่างถูกความมืดจากฝ่ามือบดบังไป ลำคอสั่นไหวอยู่เป็นนานถึงพูดว่า “รู้สึกยาวนานเหมือนผ่านไปอีกชาติหนึ่ง”

        อ๋าวหรานมองเห็นเพียงแค่ซีกหน้าด้านล่างของเขา คมสันชัดเจน จมูกโด่งงดงาม ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันน้อยๆ ทั้งไม่บางและไม่หนา รูปทรงน่ามอง เหมือนกับตัวการ์ตูน 3D ในยุคปัจจุบัน แต่กลับดูจริงยิ่งกว่า ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง อ๋าวหรานเองยังอดยอมรับไม่ได้ว่าจิ่งฝานหน้าตาดีมาก หล่อที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาจากทั้งสองชาติ

        แน่นอนใบหน้าที่งดงามนี้ส่วนที่งดงามที่สุดนั่นก็คือดวงตาคู่นั้น ในแววตาของเขาราวกับมีมหาสมุทรผืนใหญ่ กว้างใหญ่ลึกล้ำ ดึงดูดให้คนจมดิ่งลงไป ทว่าตอนนี้เขาปิดตาทั้งคู่เอาไว้ ทั้งร่างดูราวกับว่ากำลังงุนงงทำอะไรไม่ถูก ราวกับว่าจิ่งฝานผู้เดียวดายในวันนั้นวันที่พวกเขาไปกินข้าวกันที่ฮวาเล่อทิงปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้ง

        อย่างไรเสียก็ยังเป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยคนหนึ่ง ในใจคงมีเรื่องให้สับสนวุ่นวายมากมาย อ๋าวหรานยื่นมือออกไปวางไว้บนมือของจิ่งฝาน มือนั้นสั่นน้อยๆ

        อ๋าวหรานหยุดไปนิด แล้วลูบไปบนผมเขา ค่อยๆ สัมผัสศีรษะเขา แย้มยิ้มพลางพูดว่า “ข้าเองก็มีความรู้สึกเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เพิ่งหลับไปคืนเดียว กลับรู้สึกเหมือนหลับไปเป็นพันปีหมื่นปี ราวกลับว่าได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่กินเวลายาวนานของโลกมาแล้ว”

        พูดจบอ๋าวหรานก็ถามอีกว่า “เจ้าได้ยินเสียงนกร้องตอนรุ่งเช้าหรือไม่?”

        ศีรษะใต้ฝ่ามือขยับขึ้นลง อ๋าวหรานเห็นเขาตอบสนอง พูดอีกว่า “อยู่ใกล้ๆ หูนี่เอง เสนาะใส งดงามมาก ราวกับว่าทั้งโลกนี้มีเพียงแค่ตัวเอง หาที่สงบๆ เพลิดเพลินไปกับชีวิตที่สุขสงบและอิสระ”

        อ๋าวหรานพูดต่อไปว่า “เมื่อวานข้าบอกว่าข้าคิดถึงบ้าน แต่พอเช้านี้ได้ยินเสียงนกร้องเหล่านั้น ข้าก็รู้สึกว่าพอแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่เราสามารถเสียดาย สามารถคิดคำนึงหวนถึงมันได้ เพียงแต่สิ่งที่กำลังพบอยู่ตอนนี้ต่างหากที่ควรไขว่คว้าเอาไว้ ยังมีสิ่งที่อยากได้ในอนาคต ก็สามารถไปทุ่มเทความพยายามกับมันได้”

        ครั้งนี้ จิ่งฝานไม่ได้ตอบกลับ มือของอ๋าวหรานยังคงวางไว้บนศีรษะของจิ่งฝานเช่นเดิม คนทั้งสองเงียบไปเช่นนี้อยู่เป็นนาน

        นอกประตูเหมือนมีเสียงคนปะทะฝีปากกัน ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จิ่งฝานรีบลุกขึ้นนั่งทันใด ก้มหน้า สีหน้าถูกปกปิดอยู่ภายใต้เส้นผม นั่งเงียบอยู่เป็นนาน จู่ๆ ก็พูดเสียงขรึม “ความทุกข์บางอย่างไม่อาจลืมได้”

        น้ำเสียงต่ำลึกเป็นอย่างมาก อ๋าวหรานได้ยินไม่ชัด กำลังตั้งใจจะถาม นอกประตูกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

        “พี่จิ่งฝานท่านอยู่หรือไม่? ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”

        ฟังเสียงแล้ว เป็นจิ่งฉี

        “พี่ข้าอาจจะยังไม่ลุกก็ได้ เจ้าอย่าเพิ่งเข้าไป”

        ยังมีจิ่งเซียง

        “นี่ เจ้าอย่าผลักประตูสิ…”

        ชัดเจนว่าจิ่งเซียงห้ามช้าไปแล้ว จิ่งฉีผลักประตูเข้ามาเรียบร้อยแล้ว เขายิ้มอย่างสดใส ทว่ากลับไม่คิดว่า ผลักประตูเข้ามาจะเห็นว่าอ๋าวหรานอยู่ด้วย คนทั้งสองสวมแค่เสื้อตัวใน

        จิ่งฉีถามอย่างสงสัย “คุณชายอ๋าว ทำไมท่านก็อยู่ที่นี่?”

        จิ่งเซียงเดินตามหลังมา ลากจิ่งฉีออกไปด้านนอก “ข้าออกไปเล่าให้เจ้าฟังด้านนอก เจ้าต้องให้เวลาพี่ข้าล้างหน้าล้างตาด้วยสิ”

        พูดจบยังไม่ลืมหันศีรษะมากำชับคนทั้งสอง “หนอนขี้เกียจทั้งสองท่าน รีบเตรียมตัวเข้า เลยเวลาอาหารเช้าไปแล้วนะ”

        อ๋าวหรานกระโดดลงจากเตียง “ดูแล้วเมื่อคืนจิ่งเคอสองพี่น้องก็พักที่นี่”

        จิ่งฝานสวมเสื้อผ้าไปพลางอืมออกมาเสียงหนึ่ง

        คนทั้งสองค่อนข้างว่องไว จัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว ตอนที่ออกไปจิ่งจื่อเพิ่งมาถึงหน้าประตูของพวกเขา “ไปเถอะ ลงไปกินข้าว รอแค่พวกเจ้าสองคนแล้ว”

        อ๋าวหรานถามอย่างสงสัย  “พวกเจ้ายังไม่กินหรือ”

        จิ่งจื่อเถลิงตามองเขาทีหนึ่ง “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ทุกคนรอแค่พวกเจ้าแล้ว”

        อ๋าวหรานหัวเราะฮิฮิ “ไม่ได้รอข้าคนเดียวเสียหน่อย”

        จิ่งจื่อพูดด้วยความโกรธ “พี่จิ่งฝานไม่เคยนอนตื่นสายมาก่อน สุดท้ายพอนอนห้องเดียวกับเจ้าแล้วก็ตื่นสายเลย เจ้าไม่คิดจะทบทวนตัวเองหน่อยหรือ?”

        อ๋าวหรานสั่นศีรษะ “ไม่ควรนะ ข้าให้เขาพักผ่อนให้มากหน่อย จะได้ไม่เหนื่อยล้าเกินไป ผิดด้วยหรือ?”

        จิ่งจื่อ “……”

        จิ่งฝาน “……”

        อ๋าวหรานมาถึงด้านล่างแล้วถึงได้เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าคนทั้งหมดรอพวกเจ้าอยู่ หวางฮวายเหล่ย จิ่งเคอสองพี่น้อง จิ่งรุ่ยที่ไม่เจอกันมาสองวัน ยังมีลูกหลานตระกูลจิ่งคนอื่นๆ อีกสองสามคน

        หวางฮวายเหล่ยกำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน สักพักให้น้องจิ่งรุ่ย สักพักให้น้องจิ่งฉี ยุ่งวุ่นวายอย่างยินดี จิ่งเซียงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้ารำคาญ พอเห็นว่าพวกจิ่งฝานมาแล้ว ก็รีบเก็บสีหน้า ตะโกนอย่างยินดีว่า “พี่ พวกท่านมาแล้ว รีบเข้ามานั่ง”

        หวางฮวายเหล่ยเห็นอ๋าวหรานมาแล้ว รีบพยักหน้าแสดงท่าทีต่อเขา ยิ้มอย่างอ่อนโยน อ๋าวหรานก็แกล้งทำเป็นพยักหน้าไปทางเขาอย่างไม่ใส่ใจ

        อาหารมื้อนี้กินกันอย่างคึกครื้น บนโต๊ะอาหารมีเสียงหัวเราะไม่หยุด แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกจิ่งเคอที่พูด พวกอ๋าวหรานแค่ตอบรับบ้างไม่กี่คำ

        ฐานะนายน้อยแห่งตระกูลหวางตะวันตกของหวางฮวายเหล่ยนี่ไม่ใช่เล่นๆ เลย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ทั้งจิ่งรุ่ย จิ่งเคอ ล้วนยิ้มแย้มให้กับเขา หวางฮวายเหล่ยเองก็แสดงละครเก่งเสียเหลือเกิน มองดูสาวสวยทั้งหลาย ในใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรไร้สาระอยู่ ทว่าสีหน้ากลับแสดงออกราวกับเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยน ทำให้จิ่งรุ่ยกับจิ่งฉียิ้มร่าเริงไปตามๆ กัน

        เมื่ออาหารมื้อนี้จบลง อ๋าวหรานก็ถอนหายใจออกมา กินข้าวกับคนที่มีความคิดนิสัยใจคอไปด้วยกันได้สบายใจกว่าจริงๆ

        พวกเขากำลังคิดจะออกไป จู่ๆ จิ่งเคอก็ถามขึ้นว่า “เราจะกลับกันเมื่อไร?”

        จิ่งฝานยังไม่ทันตอบ จิ่งเคอก็พูดอีก “พรุ่งนี้ได้หรือไม่? ยังมีลูกหลานบางคนยังไม่กลับมา วันนี้จะติดต่อไป ตอนค่ำพวกเรายังเที่ยวเล่นได้ อย่างไรเสียก็เป็นงานเทศกาล ปีหนึ่งมีครั้งเดียว ได้หรือไม่?”

        จิ่งฝานตอบรับกลับไปอย่างเรียบเฉยว่า อืม ไปคำหนึ่ง พูดไปประโยคหนึ่งว่าตามใจ แล้วก็จากไป

        ตอนกลางวัน อ๋าวหรานอยู่ตรวจโรคกับพวกเขาไปอีกหนึ่งวัน ถือโอกาสคุยกับจิ่งจื่อเรื่องเรื่องวุ่นวายทั้งหลายเกี่ยวกับตระกูลทางนั่นไปด้วย

        สำหรับเรื่อง จี๋เต้า จิ่งจื่อไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง “ถ้ามีคัมภีร์ลับเช่นนี้จริงๆ คงมีคนครองแผ่นดินไปนานแล้ว จะเป็นแบบในตอนนี้ที่ตระกูลใหญ่ทั้งหลาย หั่นแบ่งแผ่นดินใหญ่ออกเป็นสี่ห้าส่วน เอะอะก็รบราฆ่าฟันกันแบบนี้ได้เช่นไร”

        “ยังมีตระกูลทางนั่นอีก ทำไมถึงหลบเร้นอยู่เป็นนานแล้วเพิ่งมาลงมือกับพวกเจ้า คงไปได้ยินเรื่องไร้สาระอะไรมามากกว่า เรื่องไร้แก่นสารไม่มีมูลความจริง!

        อ๋าวหรานพูดว่า “ไม่ว่าจริงเท็จ ข้าก็เป็นตัวปัญหาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไร้สาระ หรือข้อมูลที่ไม่มีมูลความจริง จะอย่างไรข้าก็ถูกหมายหัวไว้แล้ว ส่วนพวกเจ้าตอนนี้ก็ถูกข้าทำให้เดือดร้อนไปด้วยแล้ว”

        จิ่งจื่อโกรธ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? คิดว่าตระกูลจิ่งของเราไม่มีที่สำหรับเจ้าแล้ว? เจ้าจะโทษตัวเองเพื่ออันใด?”

        อ๋าวหราน “……” เจ้าเด็กนี่

        อ๋าวหราน “ข้าก็แค่พูดไปตามความจริง ถ้าหากข้ากลัวว่าจะเดือดร้อนพวกเจ้า ก็คงจะหนีจากไปนานแล้ว จะมีเวลามาพูดอะไรกับเจ้าเยอะแยะ”

        จิ่งจื่อส่งเสียง เหอะ ออกมา

        อ๋าวหรานไม่สนใจเขา พูดต่อว่า “ จี๋ต้าว นั้นมีอยู่จริง แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงยังหาไม่พบ คัมภีร์นี้ค่อยๆ หาไปก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังไว้จะลดความระมัดระวังไม่ได้ หลางฉามาหาถึงที่นี่แล้ว อีกทั้งยังมีหวางฮวายเหล่ยนั่นอีก เป้าหมายล้วนชัดเจนอย่างยิ่ง”

        จิ่งจื่อตบตัวแล้วถอนหายใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนได้ยินมากับหูว่าหวางฮวายเหล่ยพยายามทำดีกับเจ้า ข้าคงไม่กล้าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง”

        อ๋าวหรานถอนหายใจยาวยิ่งกว่า “คนที่ไม่ควรเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้น่าจะเป็นข้าถึงจะถูก” เข้ามาอยู่ในโลกนิยายนี้อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก

        จิ่งจื่อก็ดูเหมือนจะหนักใจอยู่เหมือนกัน “หลางฉานี่พอจะกันได้ แต่หวางฮวายเหล่ยจะทำอย่างไร เขาต้องตามพวกเราไปที่ตระกูลจิ่งเป็นแน่ อีกทั้งเขายังเป็นลูกของท่านป้าเหวินเยว่อีก”

        อ๋าวหราน “หวางฮวายเหล่ยข้ายังสามารถหาวิธีจัดการถ่วงเวลาไว้ได้ เขาใช้ชีวิตสุขสบายจนเคยแล้ว ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แล้วก็ไม่ค่อยฉลาด รับมือง่าย”

        จิ่งจื่อ “ก็จริง”

        พูดจบก็บอกอีกว่า “เสียแรงข้าอุตส่าห์นับเจ้าเป็นสหาย เจ้ากลับเพิ่งมาบอกข้าเอาตอนนี้”

        อ๋าวหราน “……” เจ้านับข้าเป็นสหายแล้วหรือ? ข้าไม่รู้สึกถึงมันเลยจริงๆ

        คุยกับจิ่งจื่อมาเนิ่นนาน อ๋าวหรานเห็นว่ายังเช้าอยู่ จึงเข้าไปดูจิ่งฝานตรวจโรคจับชีพจร ได้ความรู้ใหม่ๆ มาไม่น้อย

        ——————

        ต่อนบ่ายพวกเขากินข้าวกันที่ร้านโอสถนี่เสียเลย ไม่ได้กลับไปที่ฮวาเล่อทิง และไม่ได้เรียกพวกจิ่งเคอ แต่เดินทางไปตำหนักเทพกันเลย

        วันนี้ถึงแม้จะไม่มีอิ่นซีเหมิงมาขอพร แต่ตลอดทางก็ยังมีผู้คนเบียดเสียดเยอะแยะมากมาย เทพธิดาของตำหนักเทพออกมาทำหน้าที่ขอพรในงานเทศกาลวันแรกแค่รอบเดียวก็พอแล้ว วันที่เหลือก็จะอยู่ในตำหนักเทพ คนที่อยากจะเคารพขอพรก็สามารถไปพบนางเป็นการส่วนตัวได้

        ถึงแม้จะไม่มีอิ่นซีเหมิง แต่คณะการแสดงนั้นออกมาแต่เช้า เป่าแตรร้องเพลง อยู่ริมถนน คึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง เทียบกับการร่ายรำและบทเพลงที่ดูสูงส่งของอิ่นซีเหมิง การแสดงของพวกเขาดูติดดินเข้าถึงได้ง่ายกว่า คนที่ขับร้องเล่นดนตรีอยู่นั้นส่วนมากก็ไม่ได้หน้าตางดงาม แต่ร่าเริงเป็นอย่างมาก มีการเล่นกับคนเดินถนนอยู่บ่อยๆ แสดงสีหน้าอลังการกว่าปกติ ดูแล้วรื่นเริงบันเทิงใจดี

        จิ่งเซียงทั้งหัวเราะทั้งกระโดดโลดเต้นไปด้วย คนโปรยดอกไม้ในคาระวานเห็นนางมีความสุข จึ่งโปรยดอกไม้มาบนร่างนางมากยิ่งขึ้น จิ่งเซียงมีความสุขมาก

        ตอนที่พวกเขาไปถึงใกล้บริเวณตำหนักเทพนั้น คนก็ดูเยอะขึ้นมาก ไม่ใช่แค่คน แม้แต่ดอกจินมู่ก็เยอะไปด้วย ตามลำต้นและตามกิ่งไม้มีโคมไฟประดับ ทำให้บริเวณตำหนักเทพสว่างไสวดุจกลางวัน งดงามสว่างไสว

        สองข้างของตำหนักเทพล้วนมีแม่น้ำอยู่ ในแม่น้ำมีเรือลอยละล่องอยู่มากมาย เงานของเรือสะท้อนลงในน้ำดูงดงามราวภาพเขียน บางครั้งก็เพิ่มจุดสีแดง สีชมพูจากเงาคนลงไป เงาคนเหล่านั้นทุกคนล้วนยิ้มอย่างงดงาม ยิ่งทำให้ทัศนียภาพนี้งดงามมากขึ้นไปอีก ในแม่น้ำมีเสียงหัวเราะพูดคุยไม่หยุด ข้างแม่น้ำยิ่งคึกคักกว่า

        ทั้งสองข้างมีเพิงขายของมากมาย มีทั้งอาหารเครื่องดื่มของเล่นครบทุกอย่าง ตอนนี้อ๋าวหรานถึงได้ค้นพบว่าคนที่ชอบเล่นสนุกหัวเราะไม่ได้มีแค่จิ่งเซียงคนเดียว สาวน้อยทุกคน แม้กระทั้งทั่วทุกคน ณ ที่นี่ ล้วนหัวเราะสนุกสนานไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข

        พวกอ๋าวหรานตามฝูงชนเข้าไปในตำหนักเทพ

 

Author Jinovel