มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 3 ตอนที่ 80

        ตรงนี้เหยียนเฟิงเกอสู้กับอ๋าวหรานและจิ่งจื่อเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่ลงมา ยืนนิ่งอยู่บนเวที ส่งสายตาไปทางจิ่งฝาน ค่อยๆ ก้มศีรษะลง ดวงตาลึกล้ำ สีผิวเหยียนเฟิงเกอขาวกว่าสีน้ำตาลเนื้อเล็กน้อย รูปหน้าไม่กลมมน ยังดูผอมเล็กน้อย ทำให้ดูคมสัน

        ถึงจะไม่ได้พูดออกมา แต่ความหมายทุกอย่างก็ชัดเจน คนทั้งสนามที่มีตาก็ล้วนเข้าใจความหมายเขา

        เหยียนเฟิงเกอรับรู้ได้ถึงรังสีไม่ธรรมดาที่แผ่ออกมาจากตัวจิ่งฝานตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ทั้งที่ไม่ได้แสดงอะไรออกมาแต่กลับดูโดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรแต่ก็แผ่รังสีกดดันให้คนรอบข้าง

        อีกทั้ง คนคนนี้กำลังแอบซ่อนบางอย่างอยู่

        ความแหลมคมที่พร้อมจะสาดซัดทิ่มแทงคนนั้นถูกเขาซ่อนเอาไว้ ใบหน้าแสดงออกมาแค่ความนิ่งเฉย บางครั้งก็ยังมีความอ่อนโยนบ้าง แน่นอนว่าไม่ว่านิสัยเขาจะเป็นอย่างไร จะอ่อนโยนหรือไม่ เหยียนเฟิงเกอไม่สนใจจะไปสำรวจ สิ่งที่เขาอยากสำรวจก็คือความคมของคนคนนี้ กำลังภายในที่ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้

        เหตุผลที่เหยียนเฟิงเกอออกไปฝึกฝนด้านนอกบ่อยครั้งนั้นมีมากมาย เหตุผลหลักก็คือเขาอยากทำให้หมู่บ้านสกุลอ๋าวยิ่งใหญ่ นี่คือความฝันของบิดาของอ๋าวหราน และเป็นความคาดหวังที่ส่งต่อมายังเขา แต่หมู่บ้านสกุลอ๋าวในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้เป็นเพียงปลาตัวเล็ก ปลาใหญ่ที่สามารถกินพวกเขาเข้าไปได้นั้นมีมากมาย ดังคำที่ว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เขาสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าปลาใหญ่พวกนี้ทำอย่างไรถึงเปลี่ยนจากปลาเล็กเป็นปลาใหญ่ได้ อีกอย่างคือเขาอยากเห็นโลกภายนอก อยากดูว่าเขาห่างชั้นจากยอดฝีมือในแผ่นดินนี้อยู่มากแค่ไหน

        ที่หมู่บ้านสกุลอ๋าวไม่มีช่องว่างให้เขาพัฒนาอีกแล้ว บิดาของอ๋าวหรานนับว่าเป็นอัจฉริยะที่สุดยอดมากๆ แล้ว แต่พรสวรรค์นี้ก็โดดเด่นแค่ในบรรดาคนตระกูลอ๋าวเท่านั้นเทียบกับคนทั้งแผ่นดินใหญ่นี้นับว่ายังห่างกันอีกมาก ตัวเปรียบเทียบที่ชัดเจนที่สุดก็คือเหยียนเฟิงเกอ เหยียนเฟิงเกอมาอยู่ที่หมู่บ้านสกุลอ๋าวตอนแปดขวบ เริ่มเรียนเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวเหมือนกับคนตระกูลอ๋าว ตอนที่เขาอายุสิบเอ็ดก็สามารถรับกระบวนท่าของบิดาอ๋าวหรานได้เกินร้อยกระบวน ตอนนั้นทำให้บิดาของอ๋าวหรานตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

        หัวหน้าหมู่บ้านสกุลอ๋าวเป็นคนจิตใจดีและกว้างขวาง อัจฉริยะเช่นนี้เขาไม่โกรธเกลียดริษยาแม้แต่น้อย มีแต่เพียงความทะนุถนอมเห็นคุณค่า ตอนที่เหยียนเฟิงเกออายุสิบสองก็สามารถประมือเสมอกับบิดาของอ๋าวหรานได้แล้ว ผู้นำอ๋าวดีใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่าการทำให้ตระกูลอ๋าวยิ่งใหญ่นั้นมีความหวังแล้ว เขาราวกับจะฝากฝังความปรารถนาทั้งหมดไว้บนตัวเหยียนเฟิงเกอ และพยายามสุดชีวิตเพื่อชี้แนะเหยียนเฟิงเกอ ทุกโอกาสที่จะทำให้เหยียนเฟิงเกอสามารถพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเขาล้วนนำมาให้เหยียนเฟิงเกอทั้งหมด

        เดิมทีผู้นำอ๋าวยังกังวลว่าให้เหยียนเฟิงเกอเรียนวรยุทธ์ทุกวันแล้วเขาจะไม่ชอบ ตอนหลังค้นพบว่าเขาชอบจริงๆ ไม่ใช่เพราะความคาดหวังและการกดดันจากตัวเอง เมื่อรู้เช่นนี้ ผู้นำอ๋าวจึงสนับสนุนเต็มที่ ตอนที่เหยียนเฟิงเกออายุสิบห้า ผู้นำอ๋าวก็ยืนหยัดสู้กับเขาได้ไม่กี่กระบวนท่าแล้ว และนี่ยังเป็นผลลัพธ์จากการที่เหยียนเฟิงเกออ่อนข้อให้เล็กน้อยแล้วด้วย

        ตอนนั้นทั้งตระกูลอ๋าวและตระกูลข้างเคียงจำนวนหนึ่งก็มักจะมาจัดประลองเล็กๆ กันเสมอ เหยียนเฟิงเกอแอบซ่อนฝีมือจริงถึงแปดสิบส่วนจากทั้งหมดร้อยส่วน ก็ยังสามารถกดพวกนั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย ผู้นำอ๋าวก็เพิ่งรู้ว่า เหยียนเฟิงเกอเป็นมังกร สระน้ำเล็กๆ เช่นตระกูลอ๋าวนี้เอาเขาไม่อยู่แล้ว เกรงว่าแม้แต่ขาข้างเดียวก็ยังมีเนื้อที่ไม่พอ อีกทั้งหากยังรั้งอยู่ที่ตระกูลอ๋าวต่อไปมีแต่จะสิ้นเปลืองพรสวรรค์และความสามารถของเขา มีแต่ให้เขาออกไปเขาถึงจะสามารถเหยียดแข้งเหยียดขาได้ โลกใบใหญ่ข้างนอกนั่นถึงจะทำให้เขามีช่องว่างในการพัฒนาที่มากขึ้น

        ดังนั้นบิดาของอ๋าวหรานจึงให้เขาออกไปฝึกฝนข้างนอกบ่อยๆ แค่ตอนที่หมู่บ้านสกุลอ๋าวเกิดเรื่อง หรือมีเทศกาลสำคัญๆ ถึงจะกลับมา

        เหยียนเฟิงเกอเองก็ค่อนข้างพอใจการจัดการเช่นนี้ คนตระกูลอ๋าวที่สามารถเป็นคู่มือของเขาได้นั้นไม่มีอีกแล้ว อยากหาคู่มือมีแต่ต้องออกไปหาเอาข้างนอกแล้ว

        แน่นอนเหตุที่ออกไปพวกนี้ ยังมีส่วนเล็กๆ ที่เป็นเพราะอ๋าวหรานไม่ชอบเห็นหน้าเขาด้วย อยู่แต่ในหมู่บ้านสกุลอ๋าวรั้งแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นขึ้น เขาไม่กลัวที่อ๋าวหรานต่อยตีเขา หลักๆ คือเขาไม่อยากให้พวกผู้นำอ๋าวต้องลำบากใจ

        หลายปีที่เหยียนเฟิงเกอออกไปฝึกฝนนั้น ได้พบเจอผู้มีฝีมือมามากจริงๆ ถึงแม้ในบรรดาพวกนี้มีแค่ไม่กี่คนที่พรสวรรค์โดดเด่นเหมือนอย่างเขา แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นยอดฝีมือบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ อายุและประสบการณ์ทำให้วรยุทธ์ของพวกเขาโดดเด่นต่างจากคนทั่วไป นี่เป็นสิ่งที่เหยียนเฟิงเกอไม่อาจเทียบได้

        ในไม่กี่ปีมานี้เหยียนเฟิงเกอก็ได้รับบาดเจ็บมาเยอะ และแพ้มานับครั้งไม่ถ้วน ตอนที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ไม่ว่าคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน ในใจเขาก็ยังคาดเดาได้ เขารู้ว่าตัวเองแพ้ที่ตรงไหน และรู้ว่าเขามีช่องว่างที่จะเหนือกว่าพวกเขาไปได้ อาจจะไม่ต้องใช้เวลามากมายเลยด้วย

        ตอนที่ประมือกับคนเหล่านี้ ต่อให้ต้องเผชิญกับการเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแต่ในใจเขาก็รู้ว่าเขารอดได้แน่ และยังมีอีกหลายครั้งที่เขาสามารถพลิกกลับมาชนะในตอนสุดท้ายได้ เขาไม่เคยหวาดกลัวยอดฝีมือเหล่านั้นเลย และยังไม่เคยยอมศิโรราบอย่างแท้จริง

        เพราะว่า เขามองคนเหล่านั้นออกทะลุปุโปร่ง

        แต่ทว่าจิ่งฝานนั้นไม่เหมือนกัน ได้ยินอ๋าวหรานบอกมาแล้วเหมือนกัน ว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ แต่เมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดแล้ว ถึงเพิ่งพบว่า ความสุดยอดของฝีมือของคนคนนี้ไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่อ๋าวหรานเห็นแน่นอน ความเป็นยอดฝีมือที่เขาแสดงให้คนส่วนใหญ่เห็นนั้นเป็นเพียงเหลี่ยมเดียวของภูเขาน้ำแข็งทั้งก้อน ก็เหมือนกับเขาตอนที่อยู่ในตระกูลอ๋าว คนตระกูลอ๋าวก็รู้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือ แต่กลับไม่รู้ว่าระดับความเก่งของเขานั้นไม่ได้เรียบง่ายดังที่เห็น เขาเป็นคนที่พวกเขาไม่อาจตามทันได้เลยในชั่วชีวิตนี้

        จิ่งฝาน ก็คือตัวเขาเมื่อก่อน หรืออาจะน่ากลัวกว่าเขาด้วยซ้ำ เหยียนเฟิงเกอไม่สามารถมองเขาออกทะลุปุโปร่งได้ และสำรวจไม่ถึงความลึกล้ำของเขา ราวกับบ่อน้ำที่ลึกไม่มีที่สิ้นสุด

        เขามองออกว่าอ๋าวหรานได้วางชีวิตของตนเองไว้แก่คนผู้นี้อย่างสนิทใจแล้ว และเชื่อใจคนผู้นี้อย่างยิ่ง

        เขาคุ้นเคยกับอ๋าวหรานมานานปี ค่อนข้างเข้าใจเขาอยู่ ถึงแม้เจอกันครั้งนี้ อ๋าวหรานเปลี่ยนไปราวพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ความสงบนิ่งและมีเหตุผลนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ความมีเหตุผลและมันสมองนี้ เหยียนเฟิงเกอเชื่อว่าไม่ด้อยไปกว่าเขาแน่นอน แต่ทว่าถึงจะเป็นเช่นนี้ เหยียนเฟิงเกอก็ยังยากที่จะเห็นด้วยกับการที่เขาเชื่อจิ่งฝานอย่างหมดใจเช่นนี้

        จิ่งฝาน คนคนนี้ลึกจนน่ากลัว คนเช่นนี้ ต้องการอะไร? เหตุใดเขาต้องช่วยเหลือคนตัวเล็กๆ ที่พ่ายแพ้หมดรูปโดยไม่มีวี่แววจะฟื้นคืนมาใหม่ได้เลย? แค่เพราะเขาสืบทอดความมีเมตตาจิตใจดีอยากช่วยทุกสรรพชีวิตบนโลกจากตระกูลที่เป็นหมอแค่นั้นหรือ?

        เขากับตระกูลทางที่อ๋าวหรานบอกว่าหลบเร้นกายแต่สามารถสอดส่องไปทั้งใต้หล้าไม่มีใครเทียบได้นั้น ใครร้ายกาจกว่ากันล่ะ?

        “เจ้าอยากสู้กับข้าหรือ?”

        จิ่งฝานยังคงอยู่ด้านล่างเวที เสียงพูดไม่ดังนัก เหยียนเฟิงเกอกลับได้ยินอย่างชัดเจน ราวกับพูดอยู่ข้างหู

        เหยียนเฟิงเกอพยักหน้า

        จิ่งฝานยิ้มบาง “ได้สิ”

        เห็นความร้ายกาจเพียงเล็กน้อย อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจถึงความร้ายกาจที่แท้จริงของเขา แต่ทว่าเมื่อตอนที่ได้เห็นทั้งหมดนั้น ก็เป็นความตกใจราวกับภูเขาสูงหล่นกระทบพื้นน้ำ

        อ๋าวหรานกับจิ่งจื่อในตอนนี้มีความรู้สึกเช่นนี้

        จิ่งฝานกับเหยียนเฟิงเกอเหมือนกับคนสองคนที่พกระเบิดล่องหนไว้กับตัว จิตสังหารแม้เพียงดาบเดียว ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝูงคนที่อยู่ไกลออกไปค่อยๆ ถอยหลังไปตามๆ กัน เวทีประลองรับจิตสังหารของทั้งคู่ไม่ไหวแล้ว แค่ไม่กี่นาทีก็สลายกลายเป็นชิ้นไม้ ชิ้นไม้แต่ละชิ้นหนาสามนิ้วถูกซัดบินไปนอกสนาม ปักลงไปลึกลงไปในดินถึงสามส่วน

        ปราณกระบี่จากคนที่น่ากลัวผู้นั้นสาดกระจายมาถึงฝูงชน พวกอ๋าวหรานไม่อยากถอยหลัง ทำได้แค่หลบไปมา ปราณกระบี่พุ่งผ่านข้างหูไป ทำให้เส้นผมพวกเขาปลิวข้างหูก็ส่งเสียงวิ้งๆ อยู่ตลอดเวลา

        ไม่เพียงเท่านี้ ความเร็วของคนทั้งสองบนเวทียังทำให้คนตาลาย พวกอ๋าวหรานไม่อาจไม่จ้องไว้ แค่ไม่ตั้งใจเพียงแวบเดียวเบื้องหน้าก็เห็นแค่เพียงเงา พวกอ๋าวหรานดูแล้วรู้สึกกลัว แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แข็งแก่งจนไม่อาจเทียบได้

        พวกเขายังนับว่าดี ในใจอย่างน้อยก็ยังสมดุลอยู่ แค่ตั้งใจดูการต่อสู้เพียงอย่างเดียว แต่คนที่เหลือตอนนี้กลับเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว พอดีช่วงนี้ก็มีคนมาที่สนามประลองเยอะขึ้นแล้ว ล้วนถูกการต่อสู้ของคนทั้งสองทำให้ตกใจ คนที่มาก่อน อย่างน้อยก็ยังรู้จุดเริ่มต้น ส่วนคนที่มาช้าก็คิดไปว่าสองคนนี้ดวลตัดสินกัน

        “ใครกำลังดวลกัน ทำไมร้ายกาจถึงเพียงนี้”

        “ทำไมถึงรู้สึกว่าหนึ่งในนั้นคือนายน้อย?”

        “ดูชัดๆ แล้วเป็นนายน้อยจริงๆ ด้วย!

        “เช่นนั้นอีกคนหนึ่งคือใคร?”

        “เขาเพิ่งมากับนายน้อยเมื่อกี้ แต่ว่าเป็นใครยังไม่ทราบ”

        “พวกเขากำลังดวลตัดสินกันหรือ? ดูไม่ชัดแล้ว?”

        “แค่ประลองกันเท่านั้น”

        “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่านายน้อยร้ายกาจถึงเพียงนี้”

        “แน่อยู่แล้ว เจ้าไม่เคยสู้กับเขา เจ้าก็ต้องไม่รู้อยู่แล้ว”

        “พูดอย่างกับว่าเจ้าเคย”

        “ข้าเคยสู้ด้วยมาก่อนจริงๆ”

        ฝูงชน “จริงหรือ?”

        คนผู้นั้นพูดอย่างขลาดอาย “แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเก่งขนาดนี้นี่นา”

        ฝูงชนเยาะว่า “เกรงว่าคงออมมือให้เจ้าล่ะสิ”

        คนหนึ่งถอนหายใจว่า “เมื่อก่อนแค่คิดว่าวิชาแพทย์ของนายน้อยเก่งกว่าเรามาก วรยุทธ์แค่ดีกว่าเราหน่อย ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าไม่ว่าเรื่องไหนก็เก่งกว่าพวกเรามาก”

        “นั่นสิ แต่ว่าอีกคนหนึ่งนั่นใครกัน? ทำไมถึงแข็งแกร่งเพียงนี้?”

        ส่วนมากจิ่งฝานจะแค่ชี้แนะพวกลูกหลานตระกูลจิ่งกลุ่มนี้ น้อยนักที่จะตั้งใจเต็มที่ ทำให้ลูกหลานตระกูลจิ่งคิดว่าเขามีวิชาแพทย์ล้ำเลิศมาก ถึงขนาดดึงคนกลับมาจากความตายได้ กลับไม่รู้ว่าวรยุทธ์ของเขาเองก็ลำเลิศจนพวกเขาไม่อาจสู้ได้เช่นกัน

        คนล่างเวทีจะวิจารณ์กันอย่างไรคนด้านบนไม่รู้เลย ศึกนี้เหยียนเฟิงเกอยืนหยัดได้อย่างยาวนาน แต่ก็ยังเรี่ยวแรงไม่เป็นดังใจ เขาพยายามเอาเป็นเอาตาย คนตรงหน้ากลับแค่ไม่เปลืองแรงแม้เพียงนิด สบายอกสบายใจยิ่ง มือที่จับกระบี่ชาจนไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แขนเองก็ราวกับก้อนเหล็ก หนักอึ้งจนเขาแทบจะควบคุมไม่ได้ เลือดในกายราวกับกำลังพุ่งพล่าน เหมือนจะทะลักออกมาได้ทุกเมื่อ

        ลำกระบี่และแขนของเหยียนเฟิงเกออยู่ในระนาบเดียวกับ บินพุ่งเข้าไปยังลำคอของจิ่งฝาน ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองใกล้มาก จิ่งฝานรวดเร็วมากแต่ทั้งร่างกับดูไม่ได้รีบร้อนอะไร กันกระบี่ที่อยู่ห่างจากคอไม่ถึงหนึ่งคืบได้อย่างสบายๆ กระบี่ทั้งสองปะทะกัน ส่งเสียงดังออกมาเสียงหนึ่ง แขนของเหยียนเฟิงเกอสั่นเล็กน้อย

        “เจ้าไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด”

        เหยียนเฟิงเกอเก็บกระบี่ กดเลือดในกายที่แทบจะกระอักออกมา นวดแขนที่หนักอึ้ง แทงไปอีกครั้ง

        “พอได้แล้ว” จิ่งฝานยังคงสงบนิ่ง พูดสั้นๆ เพียงสามคำ และก็พอให้เหยียนเฟิงเกอได้ยินอย่างชัดเจน พลังที่คนคนนี้แอบซ่อนไว้น่ากลัวเพียงใด

        “เพราะเหตุใด?”

        ทำไมต้องซ่อนไว้ลึกเพียงนี้? มีพลังมากถึงเพียงนี้ทำให้ตระกูลจิ่งกลายเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดินใหญ่นี้คงไม่ใช่ปัญหาหรอก?

        แน่นอน ตระกูลทางที่ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเรื่องพลังของพวกเขาก็ยังไม่ต้องพูดถึง

        จิ่งฝานหัวเราะเบาๆ ท่าทางอ่อนโยน ทว่ารอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตา เย็นชาจนทำให้คนสะท้านใจ น่าเสียดายเหยียนเฟิงเกอกำลังค้อมกายจึงมองไม่เห็น “เรื่องพรสวรรค์นี่ข้าควบคุมไม่ได้ แค่พยายามนิดหน่อยความสามารถก็อยู่ในระดับที่คนอื่นทั้งชีวิตนี้ก็ตามไม่ทัน ดูจากความสามารถเจ้าแล้ว ก็คงจะเข้าใจดีนะ”

        เหยียนเฟิงเกอดวงตาลึกล้ำ

        ใช่ ระดับที่เขาใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี ก็เท่ากับเป็นความพยายามทั้งชีวิตของพ่อบุญธรรม ความแตกต่างระดับนี้ เขาเข้าใจดี

 

Author Jinovel