มิติใหม่ของพื้นที่อ่านนิยาย จัดเต็มแบบล้นคลัง ทั้งนิยายแปลจีน ญี่ปุ่นและไทย เฟ้นหาทุกหมวดคุณภาพให้ทุกคนได้อ่านกันฟินๆ พร้อมอ่านฟรีจำนวนมาก!! อย่ารอช้า! รีบสมัครสมาชิกมาเปิดประสบการณ์ความสนุก พร้อมระเบิดความมันส์ ผ่านการอ่านไปพร้อมกันได้ที่ อ่านนิยายด็อทเน็ต  

อ่านนิยาย เล่มที่ 3 ตอนที่ 90

        จิ่งเซียงพาดตัวลงกับโต๊ะ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าอุตส่าห์วุ่นวายใจแทนพวกท่าน เหตุใดพวกท่านถึงไม่สนใจ”

        อ๋าวหรานหัวเราะออกมาทีหนึ่ง “เจ้าวุ่นวายใจไร้สาระจริงๆ”

        จิ่งเซียงลุกขึ้นนั่งกะทันหัน “จะวุ่นวายไร้สาระได้อย่างไร นี่มันพรหมลิขิตชัดๆ”

        อ๋าวหรานพลิกคัมภีร์แพทย์ในมือ ทางหนึ่งดู ทางหนึ่งตอบนาง “ตอนที่เจ้าอยู่ที่ตำหนักเทพ เจ้าพูดว่าอย่างไร ถ้าหากว่าไข่มุกของเจ้ารวมเข้ากับไข่มุกของผู้อื่น เจ้าจะไม่มีทางแต่งให้เขาแน่ใช่หรือไม่”

        จิ่งเซียงพูดไม่ออก “ข้า…”

        อ๋าวหรานไม่แม้แต่จะซัดสายตาขึ้นมอง “ข้าอะไร? คิดปฏิเสธหรือ? ขงจื้อยังเคยกล่าวว่า ‘สิ่งใดที่ตนไม่ยินยอมก็อย่าได้ไปบังคับผู้อื่น’ ตัวเจ้าเองยังไม่ยินยอมเลย แต่จะให้ข้าสองคนอยู่ด้วยกันให้ได้ เจ้าว่าเจ้ามีเหตุผลหรือไม่? อ่อนข้อให้ตัวเอง แต่กลับเข้มงวดกับผู้อื่น”

        เมื่อถูกอ๋าวหรานถามไปสามคำถามก็ไม่อาจตอบโต้ได้ จิ่งเซียงทำปากมุบมิบอยู่นาน แล้วพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “ข้า…ตอนนั้นข้าก็แค่อาย เข้าใจหรือไม่?”

        อ๋าวหรานหัวเราะอย่างใจเย็น “เหตุใดข้าถึงดูไม่ออกเล่า น้ำเสียงเจ้าตอนนั้นหนักแน่นมั่นคงเป็นที่สุด”

        จิ่งเซียงเสียงอ่อน “ข้า…ข้าก็แค่อายแบบหลบใน”

        อ๋าวหราน “…”

        จิ่งฝาน “…”

        อ๋าวหราน “เช่นนั้นข้าก็อายอย่างออกนอกหน้า หวังว่าเจ้าจะสนใจความรู้สึกข้าสักนิด อย่าพูดราวกับจะบอกให้ทั้งโลกรับรู้ว่าข้าจะแต่ง…สู่ขอพี่ชายเจ้า”

        จิ่งเซียง “…”

        จิ่งฝานไม่พอใจคำว่า ‘สู่ขอ’ ที่ออกมาเป็นอย่างมาก เลียนแบบจิ่งเซียง ปิดหนังสือในมือด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ โยนใส่อ๋าวหรานอย่างเต็มที่ อ๋าวหรานเอื้อมมือไปรับ แต่ทำเช่นไรได้ เขารวดเร็วจนป้องกันไม่ทัน คว้าได้เพียงความว่างเปล่า ส่วนหนังสือก็หล่นใส่หัวเขาเต็มๆ

        อ๋าวหราน “…”

        “พวกเจ้าสองพี่น้องรังแกข้า ไม่อายบ้างหรือ?”

        จิ่งเซียงเห็นรอยแดงบนหัวของอ๋าวหรานก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ยื่นมือไปหยิบหนังสือในอกเขามาถือไว้ จากนั้นโยนให้พี่ชายนาง แล้วนวดศีรษะให้อ๋าวหราน “อายมาก แต่ก็มีความสุขมาก”

        …

        สิ้นสุดความเป็นเพื่อน

        ——

        “นายน้อย แม่นางทั้งสองมาถึงห้องรับรองแล้ว นายน้อยจะไปต้อนรับสักหน่อยหรือไม่ขอรับ?”

        จิ่งฝานโยนหนังสือสองสามเล่มจากบนชั้นใส่อ๋าวหราน “ไม่ไปแล้ว เจ้าจัดการเองเถอะ”

        พ่อบ้านตอบว่า “ขอรับ”

        จิ่งฝานสั่งอีกว่า “เตรียมสำรับได้”

        พูดแล้วก็มองไปทางอ๋าวหราน “กินข้าวเสร็จก็ไปสนามประลองกันเลยเถอะ”

        อ๋าวหรานพยักหน้า

        จิ่งเซียงยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าไปด้วย”

        จิ่งฝานมองนางเรียบๆ ไปทีหนึ่ง “เจ้าไม่ต้องไป รั้งอยู่นี่ เดี๋ยวไปต้อนรับแขกเถิด”

        จิ่งเซียงหน้าย่นติดกันแล้วพูดว่า “ทำไมต้องเป็นข้าด้วยเล่า?”

        จิ่งฝานยิ้มเย็น “ข้าเห็นเจ้าว่างตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่สู้ไปต้อนรับ ‘แขกคนสำคัญ’ เสียหน่อยเล่า จะได้พัฒนาฝีมือการจับคู่ของเจ้าไปด้วยเลย ดูซิว่าจะสามารถผูกคู่วาสนาขึ้นมาได้อีกคู่หรือไม่? จะได้ไม่ต้องกังวลว่าข้ากับอ๋าวหรานจะถูกพวกนางยั่วยวน”

        จิ่งเซียง “…” คนผู้นี้ไม่ใช่พี่ชายนางแน่ พี่ชายนางไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด

        อ๋าวหราน…เหตุใดโลกนี้ถึงได้มีแต่ความวายนะ

        สายตาอ๋าวหรานอดมองไปทางจิ่งฝานไม่ได้ ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย จะให้ภรรยาเจ้าสองคนคู่กัน เจ้าคิดจะเป็นโสดหรือ?

        สายตาของจิ่งฝานก็มองมาทางเขาเช่นกัน “มีปัญหาหรือ?”

        อ๋าวหราน “ไม่” เอาที่เจ้าสบายใจเลย

        จิ่งเซียงที่ถูกที่ชายพูดเสียจนหาคำตอบโต้กลับไม่ได้ จึงกลับไปนั่งรอพ่อบ้านยกอาหารเข้ามาให้เงียบๆ

        พ่อบ้านที่เดินนำขบวนสาวใช้ยกอาหารเข้ามา รับรู้ได้ว่าบรรยากาศไม่ปรองดอง จึงแจกรอยยิ้มเฉกเช่นพระศรีอริยเมตไตรยของตัวเองออกมา “นายน้อย สำรับเตรียมเสร็จแล้วขอรับ แขกสองท่านทางนั้นข้าก็จัดการแล้ว แต่ข้าน้อยดูแล้ว แม่นางทั้งสองน่าจะพักอยู่ที่นี่นาน ถ้าเช่นนั้นที่พักของพวกนางจะให้จัดไว้ที่ไหนดีขอรับ?”

        จิ่งฝานนั่งลงที่โต๊ะ “ฝั่งท่านลุงใหญ่ไม่ใช่ว่าสร้างเรือนขึ้นมากมายเพื่อรองรับแขกจากงานประลองยุทธ์โดยเฉพาะหรือ? หาให้พวกนางสักสองห้องเถิด”

        พ่อบ้านรีบตอบรับว่า “ขอรับ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

        พูดจบก็พาพวกสาวใช้ออกไป

        จิ่งเซียงอดถามไม่ได้ว่า “พี่ ท่านแน่ใจนะว่าจัดให้หลางฉาไปอยู่ใต้จมูกท่านลุงใหญ่แบบนั้นจะไม่มีปัญหา?”

        จิ่งฝาน “ถ้าอย่างนั้นก็จัดให้ไปอยู่กับเจ้า?”

        จิ่งเซียงส่ายหัวราวกับป๋องแป๋ง “ไม่เอา”

        อ๋าวหราน “คนที่เราจัดไปให้ คาดว่าลุงใหญ่เจ้าคงต้องระวังเสียมากกว่า”

        จิ่งเซียงเข้าใจทันที “ก็จริง”

        อ๋าวหราน “แต่อิ่นซีเหมิงค่อนข้างอันตราย ตอนนี้หวางฮวายเหล่ยก็พักอยู่ที่ฝั่งของลุงใหญ่เจ้า”

        จิ่งเซียง “เช่นนั้นก็ให้อิ่นซีเหมิงมาพักอยู่กับข้า?”

        จิ่งฝาน “ไม่ต้อง จัดการให้พวกนางอยู่ห้องเดียวกันเถิด หลางฉาไม่ใช่ว่าวรยุทธ์ดีหรือ? ให้เป็นผู้คุ้มกันไปด้วยเลย”

        อ๋าวหรานคิด…จัดการอย่างนี้จะไม่มีปัญหาแน่หรือ?

        จิ่งเซียงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “หลางฉาจะปกป้องอิ่นซีเหมิงหรือ?”

        …

        ——

        อ๋าวหรานนอนหอบอยู่บนเวทีประลอง เขากับจิ่งฝานประมือกันไม่น้อยกว่าร้อยกระบวนท่าแล้ว เพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวถูกเขาใช้กลับไปกลับมาไม่รู้ตั้งกี่รอบ ตอนที่สู้กับจิ่งจื่อยังแสดงออกมาได้อย่างเข้าทีแท้ๆ แต่พออยู่ต่อหน้าจิ่งฝานกลับถูกสกัดไว้ได้ทุกทาง กระบี่ของเขายาวกว่าของจิ่งฝาน แต่ในร้อยกว่ากระบวนท่ามานี้ แม้แต่มุมเสื้อเขายังไม่อาจแตะโดนได้ กลับเป็นตัวเขาเองเสียอีกที่เสื้อผ้าถูกกรีดไปไม่รู้ตั้งกี่รอย มีหลายรอยที่ถูกกรีดจนขาดวิ่น แถมกรีดโดนเนื้อเขาทำให้เลือดไหลออกมาเป็นแถบๆ

        จิ่งฝานเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อเงยหน้ามองจากมุมนี้ก็ยิ่งเห็นระดับความสูงของคนผู้นี้ อ๋าวหรานถอนหายใจแล้วลุกขึ้นนั่ง ในปอดถูกกำลังภายในของจิ่งฝานซัดใส่เสียจนเลือดแทบจะทะลักออกมา อ๋าวหรานกดมันลงไป รู้สึกอย่างได้ล้ำลึกว่าที่จิ่งเซียงพูดว่าเป็นการสอนแบบอ่อนโยนนั้นเป็นเรื่องหลอกลวงสิ้นดี

        อ๋าวหรานพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าคิดอยู่ตลอดว่าเหมือนจะทะลุขีดจำกัดอะไรบางอย่างออกไปได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาหยุดเอาไว้ เพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวนั้นข้าคุ้นเคยเสียจนตอนออกกระบวนท่ายังไม่ต้องใช้สมองคิดด้วยซ้ำ ระหว่างแต่ละกระบวนท่าข้าก็ลองเอามารวมกัน ลองเอามาปรับต่อกันดูแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนมีตรงไหนไม่ถูกต้อง”

        จิ่งฝานเพียงยืนมองเขาเฉยๆ “เจ้าฝึกเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวจนคุ้นเคยเกินไปแล้ว”

        อ๋าวหรานเงยหน้าอย่างสงสัย “หมายความว่าเช่นไร ข้าฝึกอยู่ทุกวัน ต่อให้ไม่อยากคุ้นก็ต้องคุ้นอยู่ดี”

        จิ่งฝานส่ายหน้า “กระบวนท่าพวกนี้เจ้าคุ้นเคยเสียจนแค่แสดงมันออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่จิ่งจื่อ เซียงเซียงก็ต้องมีสักวันที่ล้ำหน้าเจ้าได้”

        อ๋าวหรานก้มหน้า ในสมองนึกย้อนถึงกระบวนท่าร้อยกว่ากระบวนท่าที่เขากับจิ่งฝานประมือกัน เขารับรู้ได้ว่าจิ่งฝานกดกำลังภายในของตนเองให้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับเขา ดังนั้นกำลังภายในจึงไม่มีความแตกต่าง แต่ทุกกระบวนท่าของเขาล้วนถูกจิ่งฝานสลายไปได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับวันนั้นที่สู้กับเหยียนเฟิงเกอ เหยียนเฟิงเกอคุ้นเคยกับเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่มีโอกาสได้แสดงอะไรออกมา ถูกกดไว้เพียงฝ่ายเดียว

        แต่เขาก็คุ้นเคยกับเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวเหมือนกัน เหตุใดถึงแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้

        อ๋าวหรานเช็ดเลือดที่เพียงแค่เหม่อไปครู่เดียวก็ไหลออกมาจากมุมปาก ยืนขึ้นอย่างยากลำบากเล็กน้อย ในตาสว่างวาบตื่นเต้น “ข้าคุ้นเคยแค่เพียงกระบวนท่าของเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าว เพราะว่าคุ้นเคย ดังนั้นจึงถูกจำกัดไว้เพียงแค่กระบวนท่า ถูกจำกัดไว้ด้วยกระบวนท่าแต่ละท่า คิดแต่จะทำให้พละกำลังในแต่ละกระบวนท่าเพิ่มมากขึ้น แต่เพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวก็เป็นแค่เพลงกระบี่ธรรมดา ถึงจะเพิ่มพลังมากแค่ไหนก็ไม่ได้พัฒนาไปสักเท่าไร ดังนั้นจึงไม่เคยทะลุขีดจำกัดได้เลย”

        อ๋าวหรานพูดต่อไม่หยุด “แต่เหยียนเฟิงเกอศิษย์พี่ข้า เขาก็คุ้นเคยกับกระบวนท่าเช่นกัน แต่ที่เขาคุ้นเคยไม่ใช่การออกท่าทางจึงไม่ถูกจำกัดไว้ แค่กระบวนท่าเขาก็รู้จักเปลี่ยนได้เองตามธรรมชาติ สิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นไม่เพียงแค่พละกำลังของกระบวนท่าเท่านั้น แต่ยังสามารถไปได้เหนือกว่ากระบวนท่าตามใจปรารถนา”

        จิ่งฝานกดให้เขานั่งลง แนบฝ่ามือไปที่อกเขาและคลายจุดในร่างให้ ช่วยไม่ให้เขากระอักเลือดออกมา รอจนใบหน้าที่ซีดขาวของเขามีเลือดฝาดขึ้นจึงค่อยถอนมือออกไป “หากใช้ภาพวาดมาเปรียบเทียบกับเพลงกระบี่ ถ้าอย่างนั้นเพลงกระบี่ของตระกูลจิ่งก็เป็นภาพวาดแบบประณีต ส่วนเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวก็เป็นภาพวาดแบบอิสระตามลายเส้นและวิธีการวาด”

        อ๋าวหราน “ภาพวาด?” เขาไม่ค่อยรู้เรื่องภาพวาดแบบจีนเท่าไร ถึงแม้บางครั้งจะเห็นจิ่งฝานวาดบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนใจนัก

        จิ่งฝาน “เพลงกระบี่ตระกูลจิ่งนั้นให้ความสำคัญกับความเร็ว เป้าหมายที่แม่นยำ และการลงมืออย่างโหดเหี้ยม ทุกกระบวนท่าล้วนแต่ต้องการให้เข้าเป้าและได้ผลเร็วที่สุด เพื่อรับประกันว่าหนึ่งกระบวนท่าต้องโดนเป้าหมาย และตายภายในกระบวนท่าเดียว เพราะฉะนั้นเวลาใช้เพลงกระบี่ตระกูลจิ่งจึงต้องรอบคอบรัดกุมจนถึงเข้มงวด และจำเป็นต้องทำตามกระบวนท่าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นั่นก็เพราะเพลงกระบี่ตระกูลจิ่งทุกกระบวนท่าล้วนเป็นท่ารุกฆาต มันพุ่งตรงไปยังจุดตายของคน ขอเพียงเจ้าเร็วมากพอ ไม่มีพลาดแน่นอน”

        “แต่เพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวของพวกเจ้าไม่เหมือนกัน มันเรียบง่าย อีกทั้งแต่ละกระบวนยังไม่ใช่กระบวนท่ารุกฆาตเพื่อสังหารคน กระบวนท่าเช่นนี้แท้จริงแล้วสามารถพลิกแพลงได้ แต่หากเจ้าจะทำเหมือนกับเพลงกระบี่ตระกูลจิ่งที่ออกท่าทางอย่างไม่ขาดตกบกพร่องทุกรอบแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์ เพลงกระบี่ตระกูลอ๋าวนั้นเกรงว่าเด็กไม่กี่ขวบก็คงเรียนได้เข้าท่าเข้าทางดี ตอนนี้จิ่งจื่อก็ฝึกได้แล้ว แต่พวกเจ้ากับเด็กเล็กๆ ก็ต่างกันตรงที่แค่มีพละกำลังที่มากกว่าและมีกำลังภายในคอยช่วยบ้างก็เท่านั้น”

        อ๋าวหรานอดพยักหน้าไม่ได้ เป็นเช่นนั้นจริงๆ

        จิ่งฝานพูดอีกว่า “ดังนั้นจึงบอกว่าเพลงกระบี่ตระกูลจิ่งเป็นภาพวาดแบบประณีต ทุกเส้นทุกลายล้วนต้องตั้งใจเลียนแบบ เค้าร่างชัดเจน ส่วนเพลงกระบี่ตระกูลอ๋าว อย่าเข้มงวดจนทำตามแบบทุกกระบวนท่าจนเกินไป เจ้าแค่เลียนแบบโครงร่างมาก็พอ อย่างอื่นก็พลิกแพลงเอาตามสถานการณ์ ห้ามยึดติดอยู่กับกระบวนท่าธรรมดาๆ เป็นอันขาด”

        “ยิ่งเป็นของที่ง่ายกลับยิ่งยากที่จะทำให้ดีได้ แต่กลับกันมันก็ง่ายต่อการเรียน ก็เหมือนกับการวาดภาพแบบอิสระตามลายเส้น แค่สื่อความหมายได้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องวาดโครงร่างอย่างละเอียดทุกลายเส้นลงบนกระดาษ”

        อ๋าวหรานฟังจบก็จับจิ่งฝานไว้แล้วดันตัวเองให้ลุกขึ้น ในแววตาราวกับมีไฟลุกโชติช่วงอยู่  “ขออีกที!ขออีกที!”

        พูดจบ คนก็ขยับทันที

Author Jinovel